ญาติร้องสื่อ หมอโรงพยาบาลดังเมืองขอนแก่น ทำคลอดแม่วัย 28 ปีเสียชีวิต รพ.บอกจะเยียวยา สุดท้ายไม่ได้ แถมเรียกเก็บค่าส่วนต่างเพิ่ม เตรียมส่งศพผ่าพิสูจน์อีกครั้ง
เมื่อวันที่ 10 เม.ย.2567 ที่บ้านโนนอุดม หมู่3 ต.กุดน้ำใส อ.น้ำพอง จ.ขอนแก่น ซึ่งใช้เป็นสถานที่จัดงานศพให้กับ น.ส.สุมินตรา ศรีลาโพธิ์ อายุ 28 ปี ซึ่งเสียชีวิตภายหลังคลอดลูกสาวที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจ.ขอนแก่น ส่วนลูกที่เพิ่งคลอดเกิดการหยุดหายใจไป 5 นาที รักษาตัวอยู่ที่ในห้องไอซียู
ซึ่งหมอแจ้งทางครอบครัวว่า น.ส.สุมินตรา มีภาวะตกเลือด ต้องตัดมดลูก และเกิดภาวะแทรกซ้อน จนเสียชีวิต โดยบรรยากาศงานศพ มีบรรดาญาติพี่น้องของผู้เสียชีวิต มาช่วยกันจัดเตรียมงานศพ ส่วนสามีผู้เสียชีวิต อยู่ระหว่างทำเรื่องเอกสารให้กับภรรยา โดยญาติๆบอกว่า น.ส.สุมินตรา กำพร้าพ่อแม่ตั้งแต่อายุ 2 ขวบ ญาติจึงได้ช่วยเหลือเลี้ยงดูจนถึงปัจจุบัน และทำงานอยู่โรงงานใกล้บ้าน ก่อนจะคบกับสามีและมีลูกด้วยกัน
นางเสาวลักษณ์ อายุ 29 ปี เปิดเผยว่า ตนเองและครอบครัวไม่ได้รับความเป็นธรรม จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น น้องสาวตั้งครรภ์ได้ 40 สัปดาห์ และเดินทางไปที่โรงพยาบาล เพื่อรอทำคลอดตามนัด เมื่อช่วงเช้าวันที่ 3 เม.ย. ก่อนจะเสียชีวิตในวันที่ 6 เม.ย. โดยตั้งแต่ก่อนมาทำคลอดนั้น น้องไม่ได้ปวดท้องคลอด แต่มาตามที่หมอนัด
ซึ่งก่อนทำคลอด ตนมีการพูดคุยกับน้อง สอบถามอาการน้องเป็นยังไง ซึ่งน้องก็บอกปกติดี ไม่มีอาการอะไรเลย และตนได้ถามอีกว่า หมอได้ให้ยาเร่งคลอดไหม ซึ่งน้องบอกไม่ใช้ ขอหมอผ่าคลอด ซึ่งขอตั้งแต่วันที่ 24 มี.ค.ที่ผ่านมา แต่หมอบอกว่าไม่ใช่ทางเลือกที่ดี และไม่มีคิวว่าง
จนกระทั่งวันที่ 3 เม.ย.เมื่อไปถึงโรงพยาบาล หมอมีการกระตุ้นช่องคลอดให้น้อง แต่ช่องคลอดเปิดแค่ 1 ซม. และอาการยังทรงตัว จึงรอหมอที่ฝากพิเศษ ซึ่งจะมาตรวจในช่วงค่ำ กระทั่งเวลาประมาณ 19.00 น. น้องเริ่มมีอาการปวดท้องรุนแรงขึ้น ก่อนเจ้าหน้าที่จะพาเข้าไปในห้องคลอด
ต่อมาช่วงเวลาประมาณ 20.00 น. หมอได้เข็นลูกของน้องสาวออกมา เป็นเพศหญิงน้ำหนัก 3.4 กก. โดยพาไปที่ห้องผู้ป่วยวิกฤตเด็ก พร้อมทั้งแจ้งกับทางญาติๆว่าเด็กมีอาการหายใจผิดปกติ แต่ต้องรอให้ทางคุณหมอพูดคุยกับทางสามีก่อน จึงจะออกมาชี้แจงให้ฟัง และไม่ได้มีการแจ้งเรื่องน้องมาก่อน
จนรู้ทีหลังว่า น้องมีภาวะตกเลือด หรืออาการอะไรแทรกซ้อน บอกเพียงว่าให้พักฟื้นในห้องคลอด 2 ชั่วโมง พอครบ 2 ชั่วโมงจะย้ายออกมาห้องพักฟื้นด้านนอก ก่อนที่สักพักจะมาแจ้งกับญาติว่า น้องตกเลือดเยอะ ตกเลือดไปประมาณ 4 ลิตร และหาสาเหตุไม่ได้ จึงต้องทำการผ่าตัดมดลูกออก
พอผ่าตัดมดลูกออกแล้ว เขาก็ได้เอาผ้าก็อตซ์อุดเลือดไว้ในช่องท้องของน้อง แล้วหลังจากนั้นเขาก็แจ้งว่าน้องมีภาวะหัวใจโตแทรกซ้อน หัวใจเต้นเร็ว พร้อมแจ้งว่าขณะทำคลอดหนูน้อยหยุดหายใจไป 5 นาที แล้วก็ทำการปั๊มหัวใจพาไปห้องไอซียู
ส่วนตัวของน้องสาว ญาติไปเยี่ยมช่วงเที่ยง น้องมีภาวะน้ำท่วมปอดเข้ามาเพิ่ม แล้วก็ไตวาย ต่อมาช่วงเย็นวันที่ 4 เม.ย. ทางโรงพยาบาลได้ย้ายน้องไปอีกตึก ช่วงแรกที่ย้ายไป ทางโรงพยาบาลบอกว่าอาการน้องสาวดีขึ้น กรดในเลือดก็เริ่มดีขึ้น ออกซิเจนก็เริ่มดีขึ้น ซึ่งทางญาติก็ว่าน้องโอเคแล้ว
กระทั่งวันที่ 5 เม.ย. ช่วงเที่ยงทางโรงพยาบาลมาแจ้งกับทางญาติว่า จะผ่าตัดเช็กดูว่าเลือดหยุดหรือยัง พอผ่าตัดน้องตอนช่วงบ่าย เขาบอกว่าเลือดหยุดแล้ว และเอาผ้าก๊อซออกก่อนจะทำการเย็บปกติ การผ่าตัดก็ผ่านได้ด้วยดี แต่พอช่วงดึกน้องก็เริ่มมีภาวะหัวใจเต้นเร็ว
กระทั่งประมาณ 21.00 น. ตนซึ่งนั่งดูการรักษาของคุณหมอ พบว่าคุณหมอช่วยกันเต็มที่ ซึ่งน้องมีอาการหัวใจเต้นเร็ว คุณหมอต้องคอยกระตุ้นหัวใจน้อง ก็จะดีขึ้น แต่อาการก็จะเป็นๆหายๆสลับกันอยู่อย่างนี้ ซึ่งทางหมอก็ไม่ได้แจ้งอะไรกับทางญาติ แล้วตนมารู้สึกเอะใจ เพราะเห็นหมอมาเยอะ ซึ่งเราเฝ้าดูการรักษาอยู่ตลอด จนกระทั่งเช้าวันที่ 6 เม.ย.น้องก็จากไป
โดยทาง รพ.แจ้งว่า น้องมีภาวะแทรกซ้อนหลายอย่าง จากการเสียเลือดเยอะ เลือดไม่สามารถไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆในร่างกายได้ ซึ่งสิ่งที่ติดใจคือน้องสาวไปด้วยร่างกายที่แข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัว น้องขอผ่าคลอด ทำไมคุณหมอไม่ผ่าคลอดให้แต่แรก ซึ่งสุดท้ายก็ต้องผ่า เพราะเด็กน้ำหนัก 3.4 กก. ตัวใหญ่
และที่ต้องการให้ผ่าคลอดนั้น เพราะเคยเห็นประสบการณ์จากลูกพี่สาว เด็กสำลักน้ำคร่ำจึงไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำ ไม่ขอใช้ยาเร่งคลอด และตัวน้องสาวเองบอกตลอดว่า ไม่ได้ใช้ยาเร่งคลอด แต่ญาติมารู้หลังจากน้องช็อกไปแล้ว ว่าหมอได้ใช้ยาเร่งคลอดไปตั้งแต่ 11.00 น.ทำไมตัวคนไข้ถึงไม่รู้ว่าใช้ยาเร่งคลอด
ภายหลังจากรับศพน้องกลับมาตั้งที่บ้าน ในวันที่ 7 เม.ย.ช่วงเย็นหมอที่ทำคลอดให้น้อง รวมทั้งตัวแทนของผู้อำนวยการโรงพยาบาล เดินทางมาร่วมงาน และพูดคุยถึงเรื่องเงินเยียวยากับทางญาติ ว่ามีค่าชดใช้ ค่าเยียวยา ซึ่งตอนแรกที่คุย หมอที่ทำคลอดให้น้องยอมรับว่าตัวเองเป็นคนทำให้เกิดความผิดพลาด
แต่เมื่อวาน 9 เม.ย.ที่ผ่านมา สามีของน้องได้ไปขอรับสิทธิ์เงินเยียวยาตามที่หมอบอก แต่ทางโรงพยาบาลได้ให้ญาติเขียนคำร้อง ม.41 ไปยื่นเรื่องส่งที่สำนักงานประกันสังคม ในเรื่องนี้ทำให้ญาติ มองว่าเป็นการชดใช้ของสำนักงานประกันสังคม ส่วนโรงพยาบาลไม่ได้ชดใช้อะไรให้เรา
อีกทั้งยังคิดค่าใช้จ่ายกับเราเพิ่มเติม ซึ่งมันไม่เป็นธรรมกับน้องมากๆ เพราะตอนแรกไม่ได้ติดใจ คือเขาบอกว่า มันไม่มีค่าใช้จ่ายอะไรแล้ว เขาจะชดใช้ชดเชยให้ แต่พอมาวันนี้กลับไม่ชดใช้ ก็เลยไม่โอเคเหมือนกับเราไม่ได้รับความเป็นธรรม ส่วนเด็กที่เพิ่งคลอด ยังอยู่โรงพยาบาล จะมีค่าใช้จ่ายขนาดไหน
สำหรับค่าส่วนต่างจากการรักษา ทางโรงพยาบาลแจ้งสามีน้องบอกว่า มีค่าทำคลอด กับค่าห้องผ่าตัด 200,000 บาทค่าทำคลอดนั้นไม่ต้องจ่าย แต่จะให้จ่าย 50,000 บาท ซึ่งเป็นค่าห้องค่าผ่าตัด ซึ่งในวันที่หมอมาร่วมงานศพนั้น หมอได้ให้เงินช่วยเหลือมา 5,000 บาท เป็นเงินส่วนตัวของหมอ กลับมาเรียกเก็บ 50,000 บาท
ส่วนอาการของหนูน้อยที่เพิ่งคลอดนั้น หมอที่ทำคลอดบอกญาติว่าอาการน้องดีขึ้น แต่ญาติไม่สามารถเข้าเยี่ยมได้ จะมีเพียงพ่อของน้องที่เข้าไปหาลูกได้ และคุณหมอยังบอกอีกว่า สำหรับหนูน้อยที่เพิ่งคลอดมีอยู่ 3 ทางคือ หูหนวก-ตาบอด, เป็นผู้ป่วยติดเตียง และเสียชีวิต
ซึ่งตอนนี้ทางญาติกำลังประสานทาง โรงพยาบาลอีกแห่ง เพื่อขอผ่าพิสูจน์ศพน้องสาว เพราะในใบมรณบัตรแจ้งว่า ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจบกพร่องในช่วงการตั้งครรภ์ ซึ่งมองมันย้อนแย้งกับสภาพร่างกายของน้องที่แข็งแรง