November 22, 2024

สาวแชร์อุทาหรณ์ เตือน “กิ้งกือ” ไม่กัดแต่มีพิษ ทำผิวหนังแสบไหม้ ทิ้งรอยแผล

สาวแชร์อุทาหรณ์ ไม่คิดว่าจะรุนแรงขนาดนี้ เตือนภัย “กิ้งกือ” ไม่กัดแต่มีพิษ ทำผิวหนังแสบไหม้ ทิ้งรอยแผล โปรดระมัดระวัง โดยเฉพาะหน้าฝน ย้ำ ไม่ใช่สัตว์อันตราย

วันนี้ (28 ม.ค. 67) กลายเป็นอุทาหรณ์เตือนภัยใกล้ตัว เมื่อผู้ใช้ Facebook : สายชล จุลภักดิ์ เหมทอง โพสต์แชร์ประสบการณ์เตือนภัย ลงในกลุ่ม ‘นี่ตัวอะไร’ ซึ่งเป็นเรื่องราวของ “กิ้งกือ” กับพิษรุนแรงที่คาดไม่ถึง

ภาพประกอบ จาก Facebook : สายชล จุลภักดิ์ เหมทอง

โดยเจ้าตัวโพสต์ว่า “สืบเนื่องจากเมื่อ 3 ปี ที่แล้ว นอนดูทีวีเล่นเพลิน ๆ แล้วเผลอหลับ ตกใจตื่นเหมือนมีอะไรมาเกาะแขนก็ปัด ๆ ไปละหลับต่อไปแป็บนึง”

“ตื่นมาเป็นแบบภาพแรก ผ่านไปวันที่ 2 รอยไหม้เริ่มชัด แบบภาพ 2 ผ่านมา 3 ปี ยังคงมีรอยจาง ๆ อยู่ค่ะ ไม่เคยคิดเลยว่าน้อนจะมีพิษแรงขนาดนี้”

ภาพประกอบ จาก Facebook : สายชล จุลภักดิ์ เหมทอง

โดยทาง ‘กรมการแพทย์’ เผย แพทย์ผิวหนังเตือน กิ้งกือในช่วงหน้าฝนไม่กัดแต่มีพิษทำให้ผิวหนังไหม้

สถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ เตือนประชาชนในช่วงหน้าฝนให้ระมัดระวัง “กิ้งกือ” แม้จะไม่ใช่สัตว์อันตราย ไม่กัด แต่มีพิษ ที่ส่งผลให้ผิวหนังระคายเคืองได้

นายแพทย์ไพโรจน์ สุรัตนวนิช รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า “ในช่วงฤดูฝน เป็นช่วงที่อาจจะพบกิ้งกือได้บ่อย ๆ ในบ้าน หรือสวนสาธารณะต่าง ๆ ขอให้ประชาชนระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับกิ้งกือโดยตรง”

“ถึงแม้กิ้งกือไม่ใช่สัตว์อันตราย ไม่กัด แต่ถ้าสัมผัสถูกตัว อาจจะสัมผัสสารพิษของกิ้งกือซึ่งจะถูกปล่อยออกมาจากบริเวณข้างลำตัว สารพิษเหล่านี้จะมีฤทธิ์ฆ่าสัตว์เล็ก ๆ ประเภทมด หรือแมลง เท่านั้น แต่อาจจะส่งผลกระทบต่อผิวหนังของมนุษย์ได้เมื่อสัมผัสโดยตรง”

นายแพทย์สกานต์ บุนนาค ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า “สารพิษของกิ้งกือมีลักษณะเป็นของเหลวใสไม่มีสี ประกอบด้วยสารกลุ่มไฮโดนเจน ไซยาไนด์ (Hydrogen cyanide) ฟีนอล (Phenol) กลุ่มเบนโซควิโนน และไฮโดรควิโนน (Benzoquinones/hydroquinones) ซึ่งมีฤทธิ์ทำให้ผิวหนังมีแผลไหม้ได้ และบางรายอาจจะมีอาการปวด รวมทั้งการระคายเคืองของผิวหนังร่วมด้วย”

“ทั้งนี้ หากถูกพิษของกิ้งกือให้ล้างออกด้วยน้ำสบู่และน้ำสะอาดโดยทันที สามารถทายาแก้อักเสบ และให้การรักษาได้ตามอาการ โดยทั่วไปอาการมักจะหายภายใน 1 สัปดาห์ หากมีอาการรุนแรงให้รีบมาพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยทันที”

ภาพประกอบ จาก Facebook : กรมการแพทย์

ที่มา : สายชล จุลภักดิ์ เหมทอง, กรมการแพทย์

 

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *