September 19, 2024

สุดเศร้า! อนาจูเลีย อนาคอนดาที่ใหญ่ที่สุดในโลก ยาว 8 เมตร ถูกนักล่ายิงดับแล้ว

 

 

 

 

 

สุดเศร้า! อนาจูเลีย อนาคอนดาที่ใหญ่ที่สุดในโลก สายพันธุ์ใหม่ยาว 8 เมตร ถูกนักล่ายิงดับแล้ว หลังเพิ่งค้นพบเมื่อ ก.พ.ที่ผ่านมา

สำนักข่าวต่างประเทศ รายงาน นักวิทยาศาสตร์โศกเศร้ากับการสูญเสียงูอนาคอนดาที่ใหญ่ที่สุดในโลกชื่อ ‘อนาจูเลีย’ หลังจากพบ ‘นักล่ายิงดับ’ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาในป่าอเมซอน สร้างความไม่พอใจในหมู่ผู้เชี่ยวชาญ

อนาจูเลีย อนาคอนดาสีเขียวมีความยาวมากกว่า 26 ฟุต (ราว ๆ 8 เมตร) และหนักมากกว่า 440 ปอนด์ ถูกพบในแม่น้ำฟอร์โมโซ ในพื้นที่ชนบทของโบนิโตทางตอนใต้ของรัฐมาโต กรอสโซ โด ซูล ประเทศบราซิล

freekvonk

อนาจูเลียมีความหนาพอๆ กับยางรถยนต์หรือมีหัวขนาดเท่ามนุษย์ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านอนาคอนดาและนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเซาเปาโล จูเลียนา เทอร์รา เรียกอนาจูเลียว่าเป็น ‘สัญลักษณ์ของภูมิภาคโบนิโต’

โดยอนาจูเลียมีชื่อเสียงครั้งแรกหลังจากที่ศาสตราจารย์ฟรีค วอนก์ นักชีววิทยาชาวดัตช์ วัย 40 ปี เคยว่ายน้ำอยู่ข้าง ๆ เธอเมื่อเดือน ก.ฑ. ที่ผ่านมา ซึ่งเขาออกมากล่าวถึงการเสียชีวิตของอนาจูเลียว่า “ด้วยความเจ็บปวดในใจผมอย่างมาก ผมอยากจะแจ้งให้คุณทราบว่า อนาคอนดาตัวใหญ่ยักษ์ที่ผมว่ายด้วยนั้นถูกพบตายในแม่น้ำ”

freekvonk

“ผมได้ยินจากแหล่งข่าวต่าง ๆ ว่าเธอถูกยิงเสียชีวิต แม้ว่าจะยังไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับสาเหตุการเสียชีวิตก็ตาม ผมรู้สึกเศร้าและโกรธมากในเวลาเดียวกัน คุณต้องป่วยขนาดไหนถึงทำแบบนี้กับสัตว์ที่สวยงามและมีเอกลักษณ์เช่นนี้?”

“เท่าที่เรารู้ เธอมีสุขภาพดีมากและยังอยู่ในช่วงรุ่งโรจน์ของชีวิต ดังนั้นเธอจึงสามารถให้กำเนิดลูกหลานได้มากมายในปีต่อ ๆ ไป”

freekvonk

“เนื่องจากมีงูยักษ์ขนาดมหึมาจำนวนไม่มากที่ว่ายไปมา จึงส่งผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพอย่างมาก เธอเป็นงูที่ใหญ่ที่สุดที่ผมเคยเห็นด้วยตาของตัวเอง ผมว่ายอยู่ข้าง ๆ เธออย่างน้อยหนึ่งชั่วโมง”

“ผมหวังว่าผู้กระทำความผิดจะถูกพบและดำเนินคดี เพราะพฤติกรรมประเภทนี้จะต้องได้รับการลงโทษอย่างรุนแรง”

freekvonk

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านั้น มีการระบุว่า มีอนาคอนดาสีเขียวเพียงสายพันธุ์เดียวในอเมซอน แต่การค้นพบอนาจูเลีย คือการค้นพบอนาคอนดาสีเขียวตอนเหนือสายพันธุ์ใหม่ ทำให้ผู้เชี่ยวชาญตระหนักเป็นครั้งแรกว่ามีอนาคอนดาสีเขียวมากกว่าหนึ่งสายพันธุ์ ซึ่งได้รับการตีพิมพ์ในการศึกษาในวารสารวิทยาศาสตร์ เมื่อวันที่ 16 ก.พ.ที่ผ่านมา

ขอบคุณที่มาจาก Prof. dr. Freek Vonk

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

 

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *