หลังประกาศเปลี่ยนผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KEX ขนส่งค่ายสีส้ม ที่ประสบปัญหาขาดทุนอย่างต่อเนื่อง โดยที่ผ่านมา เคอรี่ พยายามหาแผนกู้วิกฤติด้วยการเปลี่ยนฐานลูกค้าที่เน้นกลุ่มพรีเมียมมากขึ้น ซึ่งในเวลานี้ยังไม่เห็นผลการฟื้นตัวมากนัก
และในเวลาเดียวกันการเปลี่ยนผู้ถือหุ้นใหญ่ เป็น S.F. Holdings Co., Ltd. (“SF”) ทำให้การใช้แบรนด์ KERRY ก็ถึงเวลาต้องสิ้นสุดในเดือนก.พ.ปี 68 และประกาศใช้แบรนด์ “KEX”ทดแทน พร้อมทำการตลาดตามแผนที่วางไว้
คิน เฮ็ง เน็ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) อ้างถึงการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นของบริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KEX เปิดเผยว่า ตามที่บริษัทฯ ได้ประกาศ ณ วันที่ 26 มีนาคม 2567 เรื่อง การเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้น ซึ่งส่งผลให้ ณ ปัจจุบัน S.F. Holdings Co., Ltd. (“SF”) เข้าเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทฯ ผ่านบริษัท เอสเอฟ อินเตอร์เนชั่นแนล โฮลดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด (“SFTH”)
นอกจากนี้ยังส่งผลให้ บริษัท เคแอลเอ็น โลจิสติคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (“KLNTH”) (ผู้ถือหุ้นรายใหญ่เดิมของบริษัทฯ) สิ้นสุดการเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ และ Kerry Logistics Network Limited (“KLN Group”) สิ้นสุดการควบคุมไม่ว่าในทางใดก็ตาม หรือการถือซึ่งสิทธิในการออกเสียงไม่ว่า โดยทางตรงหรือทางอ้อมร้อยละ 50 หรือ มากกว่าในบริษัทฯ
เพื่อให้การเปลี่ยนแปลงเป็นไปอย่างราบรื่นและเพื่อสนับสนุนการพัฒนาในอนาคตภายหลังการ เปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้น บริษัทฯ และ SF ได้ดำเนินการร่วมกันอย่างแข็งขันในการกำหนดกลยุทธ์ของบริษัทฯ หลาย ประการซึ่งรวมถึงการปรับเปลี่ยนเครื่องหมายการค้าของบริษัทฯ เนื่องจากความเป็นไปได้ในการสิ้นสุดการใช้ชื่อ และเครื่องหมายการค้าที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์ “Kerry” อันเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นตามที่ได้เปิดเผย ข้างต้น
โดยการพิจารณาได้เป็นไปอย่างรอบคอบเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต บริษัทฯ และ SF ได้ใช้ความพยายามอย่างที่สุดในการพูดคุยและเจรจากับ Kuok Registrations Limited (“KRL”) เกี่ยวกับรายละเอียดของข้อกำหนดและเงื่อนไขในการขยายสิทธิในการใช้ชื่อและเครื่องหมายการค้า แบรนด์ “Kerry” ภายใต้สัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิ ลงวันที่ 1 สิงหาคม 2565(รวมถึงสัญญาที่แก้ไขเพิ่มเติมทั้งหมด) ระหว่างบริษัทฯ และ KRL (“สัญญาฯ”) รวมถึงระยะเวลาขยายการใช้สิทธิที่เป็นไปได้ แผนการในการปรับเปลี่ยน เครื่องหมายการค้าที่คาดไว้ และเงื่อนไขอื่น ๆ ในการใช้แบรนด์ต่อไป
ในขณะเดียวกันบริษัทฯ และ SF ได้ดำเนินการ ประเมินอย่างละเอียดถึงผลกระทบต่อการดำเนินการและสถานะทางการเงินของบริษัทฯ ที่อาจจะเกิดขึ้นจากการ ปรับเปลี่ยนเครื่องหมายการค้า ทั้งนี้ เมื่อคำนึงถึงการเจรจาข้อตกลงในการขยายระยะเวลาของสัญญาฯ ที่อาจ เป็นไปได้ และการพัฒนาของบริษัทฯ ในระยะยาว บริษัทฯ เชื่อว่าหนึ่งในทางออกที่ดีที่สุดของบริษัทฯ คือ การปรับเปลี่ยนเครื่องหมายการค้า (Rebranding) เพื่อยุติการใช้ชื่อและเครื่องหมายการค้าที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์ “Kerry” โดยเปลี่ยนมาใช้แบรนด์ “KEX”แทน ซึ่งเป็นแบรนด์ที่ได้จดทะเบียนไว้อยู่กับบริษัทลูกภายใต้เครือ SF และ SF ได้เตรียมการที่จะให้บริษัทฯ ได้ใช้แบรนด์ดังกล่าวเพื่อการดำเนินธุรกิจ
โดยขึ้นอยู่กับการเข้าทำสัญญาการขออนุมัติภายในองค์กรและภายใต้กฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องของบริษัทฯ และ SF รวมถึงบริษัทย่อย โดยผลจากเหตุการณ์ดังกล่าว บริษัทฯ ได้ทราบถึงหนังสือบอกเลิกสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิ
ลงวันที่ 23 พฤษภาคม 2567ซึ่ง KRL ได้ใช้สิทธิในการบอกเลิกสัญญาฯ ล่วงหน้าเป็นระยะเวลา 9 เดือน จากหนังสือบอกเลิก สัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิดังกล่าว การเลิกสัญญาฯ จะมีผลในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2568 และสิทธิของบริษัทฯ ใน การใช้ชื่อและเครื่องหมายการค้าแบรนด์ “Kerry”จะสิ้นสุดลงในวันเดียวกัน คือ วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2568 ณ ปัจจุบัน บริษัทฯ และ SF กำลังดำเนินการร่วมกันเพื่อปรับเปลี่ยนเครื่องหมายการค้าของบริษัทฯ สู่แบรนด์ “KEX”
ในขณะที่บริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เสนอขายและปรับระดับแบรนด์ของบริษัทฯ เพื่อการเจริญเติบโตที่ดีขึ้นและยกระดับความพึงพอใจของลูกค้า นอกจากนี้บริษัทฯ ยังพิจารณาแผนการและกลยุทธ์ต่างๆ เพื่อลดผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นจากหนังสือบอกเลิกสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิ และเพื่อให้การเปลี่ยนแปลง เป็นไปอย่างราบรื่น รายละเอียดของสัญญาฯ ได้เปิดเผยอยู่ในแบบ 56-1 One Report (หัวข้อ ความเสี่ยงการใช้ แบรนด์ Kerry Express หน้า 73-74)
ซึ่งปรากฏอยู่บนเว็บไซต์ของบริษัทฯ และแผนการดำเนินการของ SF ในการให้ความช่วยเหลือในการเจรจาเพื่อขยายระยะเวลาของสัญญาฯ ตามที่ปรากฏในเอกสารคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ของ SF(แบบ 247-4) (ส่วนที่3 รายละเอียดของกิจการ หัวข้อที่ 2 แผนการดำเนินการภายหลังการทำ คำเสนอซื้อ 2.2.2 แผนการบริหารจัดการกิจการ หน้า 9-10) ซึ่งปรากฏอยู่บนเว็บไซต์ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ และหากมีความคืบหน้าที่สำคัญในเรื่องดังกล่าว บริษัทฯ จะแจ้งให้ทราบต่อไป