ปัจจุบันนอกจากแบบฝึกหัดที่เกี่ยวข้องกับความรู้ในตำราเรียนแล้ว ครูจำนวนมากในประเทศจีนยังได้เพิ่มแบบฝึกหัดแบบฝึกหัดภาคปฏิบัติให้กับนักเรียนวัยประถมให้ได้ทำ
กัน อาทิเช่น ล้างเท้าพ่อแม่ หรือ ช่วยพ่อแม่ทำอาหาร ซึ่งแบบฝึกหัดเหล่านี้ จะช่วยให้เด็ก ๆ เรียนรู้ที่จะรู้สึกขอบคุณและเข้าใจความยากลำบากของพ่อแม่ และรู้วิธีแสดงความรู้สึกต่อคนที่พวกเขารัก
อย่างไรก็ตาม ครอบครัวหนึ่งจากมณฑลเหลียวหนิง ประเทศจีน ได้ทำการโพสต์บทความที่ตั้งคำถามถึงทักษะการสอนที่ไม่ดีของครู เนื่องจากให้การบ้านที่ไม่สมเหตุสมผล ซึ่ง
กำหนดให้นักเรียนต้องนับข้าวสาร 10,000 เมล็ด แล้วส่งให้ ซึ่งเรื่องนี้สร้างความสนใจให้กับชาวโลกออนไลน์ในประเทศจีนเป็นอย่างมาก
โดยหลังจากที่ลูกชายของครอบครัวนี้ กลับมาบ้านและเล่าการบ้านที่ครูมอบหมายให้ฟัง ทั้งครอบครัวก็นั่งนับจนถึงกลางคืน แต่ก็ยังนับข้าวสารได้ไม่ถึง 10,000 เมล็ด จนกระทั่งเวลา
02.00 น. ของวันรุ่งขึ้น ทั้งครอบครัวก็นับเมล็ดข้าวให้เพียงพอสำหรับให้ลูกชายส่งครู นั่นจึงส่งผลกระทบต่อเวลาพักผ่อนของทั้งครอบครัว พ่อแม่ของเด็กจึงได้ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการโรงเรียนทันที เกี่ยวกับวิธีการสอนของครู
เมื่อต้องเผชิญกับคำถามจากผู้ปกครอง ครูผู้หญิงก็อธิบายอย่างใจเย็นว่า จริง ๆ แล้วแบบฝึกหัดนี้ไม่ได้ตั้งใจให้นักเรียนนับข้าว 10,000 เมล็ด แต่ต้องการให้เด็ก ๆ และผู้ปกครองหาวิธีอื่นที่ง่ายกว่าในการทำแบบฝึกหัดนี้แบบ
ตรง ๆ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความผูกพันระหว่างพ่อแม่และลูก ในขณะเดียวกันก็เพิ่มความสามารถในการคิดและความคิดสร้างสรรค์ของเด็กเมื่อต้องรับมือกับสถานการณ์ที่ยากลำบาก
ผู้ปกครองสามารถช่วยบุตรหลานทำแบบฝึกหัดนี้ได้ โดยการนับข้าวสาร 200 เมล็ด แล้วชั่งน้ำหนักเพื่อดูว่ามีกี่เมล็ด ต่อไปแค่เอาปริมาณข้าวเท่าน้ำหนักเดิม ชั่งข้าวนี้ซ้ำ 50 ครั้ง จะได้ข้าวประมาณ 10,000 เมล็ดอย่างรวดเร็ว
จุดประสงค์ของแบบฝึกหัดนี้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อทดสอบความยืดหยุ่นในการคิด เพื่อปรับปรุงความสามารถในการวิเคราะห์เชิงตรรกะของนักเรียน ทั้งนี้ วิธีดังกล่าวไม่เพียง
แต่ช่วยให้นักเรียนลดความกดดันในการต้องเรียนทั้งกลางวันและกลางคืนเท่านั้น แต่ยังช่วยให้พวกเขาพัฒนาทักษะที่สำคัญบางประการอีกด้วย
เมื่อได้ฟังคำอธิบายจากคุณครู ผู้ปกครองครอบครัวนี้ก็รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง และในขณะเดียวกันก็แสดงว่าครอบครัวไม่ได้
รับแจ้งเกี่ยวกับวิธีการนับข้าวสารแบบนี้ จึงค่อนข้างสับสนและไม่เข้าใจการสั่งการบ้านของครู
หลังจากที่เรื่องดังกล่าวได้ถูกแชร์ออกไปบนโลกออนไลน์ ก็ได้มีชาวโซเชียลเข้ามาคอมเมนต์จำนวนมาก โดยส่วนใหญ่นั้นสนับสนุนวิธีการศึกษาแบบใหม่นี้ เพื่อช่วยให้เด็กเรียนรู้และฝึกฝนทักษะต่าง ๆ แทนที่จะเน้นอ่านหนังสือทฤษฎีเพียงอย่างเดียว
แต่ก็มีชาวเน็ตอีกหลายคน มองว่า การบ้านประเภทนี้ คือ การให้การบ้านทั้งพ่อและแม่ไปด้วย เพราะลูกคงไม่สามารถทำภารกิจสำเร็จได้ด้วยตัวเอง ซึ่งครูจำเป็นต้องแจ้งให้ผู้
ปกครองทราบล่วงหน้า และไม่ควรปล่อยให้ผู้ปกครองของนักเรียนไม่รู้เกี่ยวกับแนวทางการศึกษาดังกล่าว ดังนั้นครอบครัวของนักเรียนจึงไม่ผิดที่จะบอกว่าทักษะการสอนของครูไม่ดี