ลูกสาวรักแฟนมาก ยอมตัดขาดทางบ้าน ตามไปอยู่กับผู้ชายเป็นปีๆ สุดท้ายแม่ทนคิดถึงไม่ไหวเลยไปหา ช็อก เจออีกทีลูกสภาพไม่เหมือนเดิม เห็นที่ซุกหัวนอนยิ่งเวทนา
ในอดีตการหาคู่ครองมักเกิดขึ้นตามคำสั่งของพ่อแม่หรือเชื่อถือคำพูดของพ่อสื่อ-แม่สื่อ แน่ในปัจจุบันด้วยการพัฒนาของสังคม และความก้าวหน้าทางความคิด ผู้คนสนับสนุนเสรีภาพมากขึ้นเรื่อยๆ รวมทั้งสิทธิในการเลือกคู่ชีวิตด้วยเช่นเดียวกัน
มุมมองของคนหนุ่มสาวในปัจจุบันเกี่ยวกับการแต่งงานและความรัก ล้วนคือเสรีภาพในการรัก และเสรีภาพในการแต่งงานพวกเขาไม่ต้องการให้พ่อแม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับเลือกคู่ เนื่องจากมองว่าความคิดเห็นของพ่อแม่นั้นอนุรักษ์นิยมเกินไป และไม่สนองความต้องการของคนหนุ่มสาว
เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม ปีนี้ มีคลิปวิดีโอบันทึกภาพแม่คนหนึ่งไปเยี่ยมลูกสาวที่ย้ายไปอยู่กับคนรัก เนื้อหาภายในดึงดูดความสนใจของชาวเน็ต หลายคนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้าทั้งต่อแม่และลูกสาว ในขณะเดียวกันก็เกิดการถกเถียงกันอย่างดุเดือด
ในคลิปวิดีโอจะเห็นว่า ทันทีที่ก้าวเข้าไปในบ้านลูกสาว แม่ก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เพราะ “บ้าน” ที่ลูกสาวอาศัยอยู่มาเป็นปีๆ นั้นแท้จริงแล้วเป็นเพียงผนังสี่ด้านบนที่ดินเปล่า อีกทั้งผนังยังมีเชื้อรา บ้านทั้งหลังไม่มีเฟอร์นิเจอร์ดีๆ สักชิ้น แม้แต่เตียงก็ทำจากไม้กระดาน ในห้องเต็มไปด้วยขยะทุกชนิด วัชพืช เครื่องมือการเกษตร หม้อและกระทะ ฯลฯ แทนที่จะเรียกว่าบ้าน ที่นี่เหมือนโกดังของครอบครัวชาวนามากกว่า
ลูกสาวที่ครั้งหนึ่งเคยถูกดูแลมาเหมือนเจ้าหญิงตัวน้อยๆ เมื่ออยู่ต่อหน้าพ่อแม่ของเธอ ตอนนี้กลับกำลังพับแขนเสื้อขึ้นและยืนอยู่หน้าห้องครัวเพื่อทำอาหาร ใบหน้าของเธอเป็นสีคล้ำ ผิวของเธอหยาบกร้าน และร่างกายของเธอเปลี่ยนไปอย่างมาก แม่มองดูลูกสาวและตำหนิเธออยู่ตลอดเวลา “เพราะลูกไม่เชื่อฟัง ดูสิ สามีให้ลูกอยู่บ้านแบบนี้ได้อย่างไร ลูกแต่งงานกับครอบครัวแบบไหน? ที่นี่เป็นที่ๆ ผู้คนควรอาศัยอยู่หรือเปล่า?”
เมื่อต้องเผชิญกับการดุด่าของแม่ ลูกสาวก็ยังคงนิ่งเงียบ เนื่องจากทุกอย่างที่แม่พูดล้วนเป็นความจริง ในอดีตเธอยอมทะเลาะกับพ่อและแม่ เพื่อให้ทำตามที่เธอต้องการ ร้องไห้แล้ว ร้องไห้อีก เพื่อให้ได้แต่งงานไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม แต่สุดท้ายผู้ชายที่เธอรัก กลับมอบบ้านแบบนี้ให้กับเธอ ดังนั้น เธอจึงไม่มีอะไรจะเถียงแม่
ตามคำบอกเล่าของผู้เป็นแม่ ลูกสาวและลูกเขยของเธอพบและตกหลุมรักกันขณะทำงานพาร์ทไทม์ เมื่อสมาชิกในครอบครัวได้รู้เกี่ยวกับความคิดเรื่องแต่งงานของทั้งคู่ พวกเขาไม่เห็นด้วย แต่ในขณะนั้นลูกสาวมีความรักอย่างแท้จริง ไม่เชื่อฟัง และมุ่งมั่นที่จะตามไปอยู่กับคนที่เธอรัก ในเวลานั้นทั้งครอบครัวประท้วงอย่างรุนแรง พ่อแม่ก็แทบจะคุกเข่าขอร้องเธอ แต่ลูกสาวก็ตกหล่มความรักอย่างไม่มีทางออก ไม่ลังเลที่จะทะเลาะกับครอบครัว และตั้งใจจะทำตามใจตัวเอง
“ตอนนั้นฉันโกรธจึงบอกลูกสาวว่า ถ้าวันนี้ออกจากบ้านนี้ไป คุณจะไม่มีวันได้กลับมาอีก” ผู้เป็นแม่อธิบายใต้คลิปอย่างเศร้าๆ
แต่ลูกสาวยังพูดเสียงดังด้วยความโกรธว่า ในอนาคตถึงแม้เธอจะเดือดร้อนก็จะไม่กลับมาพึ่งพาครอบครัวอีก ตั้งแต่ทะเลาะกันครั้งนั้นลูกสาวก็จากไป อย่างไรก็ดี ไม่นานลูกสาวก็พยายามโทรกลับมาหาครอบครัวหลายครั้ง แต่ตอนนั้นทุกคนโกรธมาก ยังไม่มีใครให้อภัยเธอ จึงไม่มีใครคิดจะรับสาย ตั้งแต่นั้นมาเธอก็ค่อยๆ ตัดการติดต่อกับครอบครัวจริงๆ
อย่างไรก็ดี ด้วยความสัมพันธ์แม่ลูกที่เคยใกล้ชิดกัน สุดท้ายก็ตัดลูกในสายเลือดไม่ขาด เมื่อเวลาผ่านไปแม่ก็คิดถึงลูกสาวมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็อดไม่ได้ที่จะไปเยี่ยมลูกสาว “ทันทีที่ฉันก้าวเข้าไปในบ้านลูกสาว ฉันรู้สึกทั้งเศร้าและดีใจปนเปกันหลังจากที่ลูกสาวผู้สง่างามแต่งงาน ไม่กี่ปีต่อมาเธอก็กลายเป็นผู้หญิงในชนบททั่วไป”
เด็กผู้หญิงที่ครั้งหนึ่งทั้งสิบนิ้วไม่เคยแตะต้องอะไรเลย ปัจจุบันต้องทำอาหารทุกวัน ดูแลงานบ้าน และไปทำงานที่ทุ่งนา ผิวหยาบกร้านและใบหน้าเต็มไปด้วยกระ เมื่อเห็นลูกสาวที่ดื้อรั้นจนมีชีวิตแบบนี้ ผู้เป็นแม่ก็ใจสลายจนแทบหายใจไม่ออก และยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้นเมื่อนึกขึ้นได้ว่า ถ้าก่อนที่ลูกสาวจะจากมาเธอไม่ได้พูดถ้อยคำเหล่านั้น บางทีลูกสาวอาจจะกลับไปอยู่บ้านนานแล้วก็ได้
“ตั้งแต่พูดคำเหล่านั้นออกมา ก็เหมือนฉันตัดทางกลับบ้านของลูกสาวด้วย เมื่อฉันถามลูกสาวว่าทำไมเธอไม่กลับบ้านหลังจากมีช่วงเวลาที่ยากลำบากเช่นนี้ เธอบอกว่าเธอไม่มีหน้าจะหันหลังกลับ แม้เส้นทางที่เธอเลือกจะทำให้เธอต้องคุกเข่าลง ฟังแล้วฉันพูดไม่ออกเลย”
ทั้งนี้ ผู้เป็นแม่ยังบอกด้วยว่าเธอกำลังคิดจะซื้อบ้านที่กว้างขวางและสะดวกสบายกว่านี้ให้ลูกสาว แต่สำหรับประเด็นนี้ชาวเน็ตจำนวนมากได้แสดงความคิดเห็นคัดค้าน โดยบอกว่าเธอไม่จำเป็นต้องช่วยลูกสาวซื้อบ้านเลย วิธีที่ดีที่สุดคือเก็บเงินเหล่านั้นไว้เพื่อดูแลตัวเองเมื่อแก่ตัวลง เพราะลูกสาวแต่งงานมาหลายปีแล้ว ยังไม่มีลูก แต่ก็เลือกที่จะทนทุกข์ทรมานเช่นนี้ ต่อไปในอนาคตคงไม่มีเงินพอเลี้ยงพ่อแม่แน่ๆ
ชาวเน็ตคนหนึ่งคอมเมนต์ตรงๆ ว่า “ไม่ว่าเส้นทางที่เธอเลือกจะยากแค่ไหน ก็ปล่อยให้เธอเดินด้วยตัวเอง!”
ชาวเน็ตอีกคนบอกว่า “ถ้าเธอเป็นลูกสาวฉัน ฉันจะตัดการติดต่อทั้งหมด แทนที่จะต้องมาเห็นฉากสะเทือนใจแบบนี้”
อย่างไรก็ตาม ยังมีชาวเน็ตบางคนเชื่อว่าพ่อแม่ของเด็กสาวเองก็มีส่วนผิดเช่นกัน เพราะในตอนนั้นแทนที่จะค่อยๆ ให้คำแนะนำ กลับตัดสินแบบชี้ขาด ทำให้เด็กสาวรู้สึกว่าพ่อแม่ไม่เข้าใจและไม่เห็นใจเธอ อีกทั้งเมื่อได้เห็นสภาพความเป็นอยู่ของลูกสาวในตอนนี้แล้ว เชื่อว่าไม่มีพ่อแม่คนไหนที่จะไม่ร้องไห้
ในกรณีเช่นนี้ หญิงสาวทำลายความสุขทั้งชีวิตของเธอเพราะเธอไม่รับฟังพ่อแม่ โชคดีที่แม่ของเธอรักเธอ และยังคงคิดที่จะปกป้องเธอ ดังคำที่กล่าวว่าในโลกนี้มีเพียงพ่อแม่ที่รักเราและดูแลเราโดยไม่เรียกร้องอะไรตอบแทน พ่อแม่คือผู้มีพระคุณที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเรา ดังนั้น แม้ว่ายุคสมัยจะเปลี่ยนไป แต่เราก็ยังควรรับฟังความคิดเห็นของพ่อแม่บ้าง เพราะพวกท่านคือคนที่ข้ามผ่านเรื่องราวทั้งดีและร้ายมามากกว่าเรา ประสบการณ์มีมากกว่าเรามากจริงๆ ในบางเรื่องสามารถมองเห็นปัญหาได้ในมุมที่กว้างกว่า