เมื่อวันที่ 9 กันยายน ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายนพรุจ วรชิตวุฒิกุล อดีตแกนนำกลุ่มพิราบขาว 2006 เข้ายื่นหนังสือถึง กกต. เพื่อขอให้พิจารณายุบ พรรคเพื่อไทย ภูมิใจไทย ร่วมไทยสร้างชาติ ชาติไทยพัฒนา ประชาชาติ และ พลังประชารัฐ สืบเนื่องจากพรรคเหล่านี้เดินทางเข้าพบนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งถือเป็นบุคคลภายนอกพรรคการเมือง ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 21, 28, 29 และมาตรา 92 วรรคหนึ่ง (3) หลักเกณฑ์การยุบพรรค ข้อ 11 ความปรากฏต่อนายทะเบียนพรรคการเมือง มาตรา 93
นายนพรุจกล่าวว่า เนื่องจากวันที่ 14 ส.ค.ที่ผ่าน มีการแจ้งกับสื่อมวลชนว่าบ้านจันทร์ส่องหล้าที่เป็นบ้านพักของนายทักษิณ ได้มีการเรียกบุคคลเข้ามาพบปะ ซึ่งก็ปรากฏเป็นข่าวและมีภาพของสื่อว่ามีหัวหน้าพรรคดังกล่าว และบุคคลหลายคนเข้าพบนายทักษิณ แม้ว่านายทักษิณจะกระทำการโดยอ้างว่าเป็นบิดาของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ซึ่งอยู่ระหว่างการไปศึกษาดูงานที่ต่างประเทศ โดยนายทักษิณก็ได้เรียกรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างๆ เข้าพบเพื่อผลักดัน นายชัยเกษม ศิรินิล เป็นว่าที่นายกฯคนที่ 31 ซึ่งมีมติอย่างนั้นตามที่เป็นออกมา นั่นเป็นหลักฐานที่ตนยื่นในวันนี้ด้วย ส่วนกรณีที่ยื่นยุบพรรคเพื่อไทยนั้นก็เป็นประจักษ์ว่านายทักษิณเป็นบิดาของ น.ส.แพทองธาร ที่เป็นหัวหน้าพรรค
ฉะนั้นการกระทำการใดๆ ของนายทักษิณ เสมือนเป็นการกระทำของพ่อและลูก และเป็นการกระทำที่เข้าข่ายในตามกรณี พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมืองมาตรา 28 ที่พรรคจะต้องไม่ยินยอมให้บุคคลภายนอกเข้ามาควบคุม ครอบงำ สั่งการ ทำให้พรรคไม่สามารถดำเนินการไปได้อย่างอิสระ และประกอบมาตรา 29 โดยนายทักษิณ เป็นบุคคลภายนอกของพรรค การเข้าไปแทรกแซง หรือกระทำการใดๆ จนเป็นทีสงสัยว่านายทักษิณเป็นเจ้าของพรรคเองหรือไม่ หรือเป็นผู้มีอิทธิพลเหนือพรรคหรือไม่ จึงมายื่นหนังสือให้ กกต.ได้พิจารณาซึ่งมีมาตราที่เกี่ยวข้องคือมาตรา 21 ที่ว่าการกระทำใดๆ จะต้องได้รับมติของพรรค และการกระทำของพรรค ซึ่งประกอบด้วยกรรมการบริหารพรรคจะต้องกระทำไปด้วยความรอบคอบ ซื่อสัตย์ สุจริต และมีจริตธรรม ธรรมาภิบาลทุกครั้งเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ ประชาชน ตามรัฐธรรมนูญ
นายนพรุจกล่าวอีกว่า ทุกอย่างที่ผ่านมาบ่งบอกว่าการกระทำของนายทักษิณส่อไปในทางครอบงำ สั่งการ ควบคุมพรรค โดยประชาชนส่วนใหญ่เข้าใจว่านายทักษิณเป็นเจ้าของพรรคเพื่อไทย และร่วมถึงการเป็นบิดาของน.ส.แพทองธาร ในฐานะหัวหน้าพรรค ย่อมมีอิทธิพลเหนือ น.ส.แพทองธาร ส่วนที่ น.ส.แพทองธารบอกว่ามีความคิดเป็นอิสระของตนเองนั้น ตนสงสัยมาตลอดว่าการจัดตั้งรัฐบาลแต่ละครั้งนั้นมีการเรียกบรรดาพรรคร่วมเข้าประชุม เพราะเท่าที่ปรากฏทุกครั้งที่มีการจัดตั้งรัฐบาล หรือมีนโยบายต่างๆ ของพรรคเพื่อไทย นายทักษิณก็จะเป็นผู้แสดงความคิดเห็นก่อนพรรคตลอด เสมือนเป็นมติที่พรรคจะลงมติกัน ฉะนั้นการดำเนินการในบ้านจันทร์ส่องหล้าในวันที่ 14 ส.ค.ที่ผ่านมา เป็นที่ประจักษ์ได้ว่าเป็นการหารือเพื่อจัดตั้งรัฐบาล ทั้งที่ทางกรมความประพฤติมีข้อห้ามว่า นายทักษิณ ซึ่งเคยเป็นอดีตนักโทษต้องห้ามยุ่งเกี่ยวกับการเมือง นั่นก็เป็นหน้าที่ของกรมความประพฤติต้องออกมาชี้แจงเรื่องด้วย