สุดดีใจลุง 61 ปี พบอำพันทะเล อ้วกวาฬ ทะเลตราด ประกาศขาย 4 ล้านบาท
(07 มี.ค.67) ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากนายอ้าย พรหมดี อายุ 61 ปี พร้อมนายเส็ง สมบัติ อายุ 62 ปี เผยว่านายอ้ายพี่ชายได้เก็บอัมพันทะเล หรือเรียกกันว่า อ้วกวาฬ มาจากทะเลใกล้อำเภอเกาะกูด และนำกลับมาบ้านที่บ้านไม้รูด จึงเดินทางไปตรวจสอบ และได้พบกับนายอ้าย และนายเส็ง 2 พี่น้องดังกล่าว สำหรับอ้วกวาฬของสองพี่น้อง มีลักษณะสีขาวขุ่น มีลักษณะคล้ายก้อนหินมีกลิ่นคาว
นายเส็งบอกว่าที่เป็นสีขาวนั้นหลังจากที่ได้เมื่อเมื่อกลางเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ที่ผ่านมา ตนเองได้นำแช่น้ำเค็มไว้ตลอดเวลา
นายเส็ง เล่าว่า พี่ชายของตนเองพบอำพันทะเลลอยน้ำในทะเลใกล้เกาะกูด หลังจากออกไปทะเลจับปลา จึงได้เก็บใส่เรือมาบ้าน และพยายามศึกษาหาข้อมูล จึงพบว่า อำพันทะเล หรืออ้วกวาฬดังกล่าว เป็นของหายากและมีราคาแพง จึงตั้งใจจะขายในราคา 4 ล้านบาท พร้อมกับใช้ช้อนกลางตักเศษของอ้วกวาฬและใช้ไฟจากเทียนรน จนละลายเป็นคล้ายน้ำมัน เพื่อให้รู้ว่าเป็นอ้วกวาฬของแท้ ซึ่งได้ศึกษาตามข่าวต่างๆ มีน้ำหนัก 8ขีด เท่านั้น นายเส็งยังบอกอีกว่า ในชีวิตเกิดมาเพิ่งเคยเห็นและได้เป็นเจ้าของจริงๆ รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก และตั้งใจจะขายในราคา 4 ล้านบาท หากมีใครสนใจสามารถติดต่อมาได้
สำหรับอำพันทะเล จากเว็บไซต์ องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) ระบุไว้ว่า อำพันทะเล (Ambergris) คือ ขี้วาฬ หรือ อ้วกวาฬหัวทุย (ขึ้นอยู่กับวาฬจะขับออกมาทางไหน) เกิดจากอาหารที่วาฬกินเข้าไป คือจำพวกหมึก แต่ร่างกายของวาฬไม่สามารถขับไขมันจากหมึกได้ ทำให้ไขมันของหมึกสะสมอยู่ในลำไส้ จนร่างกายขับถ่ายไขมันส่วนนี้ออกมาพร้อมอุจจาระ หรือสำรอกไขมันออกมา ที่เรียกว่า อ้วก ส่วนที่ออกมาสามารถละลายในน้ำทะเลได้อย่างอุจจาระ อ้วก หรือสารอื่นๆ ก็จะละลายไปกับน้ำทะเล แต่ไขมันจากหมึก ไม่สามารถย่อยสลายได้ จึงลอยตัวอยู่บนผิวทะเลปกติแล้วอำพันทะเลจะมีกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์สักเท่าไร แต่เมื่อเวลาผ่านไป เป็นเดือน ปี แสงแดดและน้ำทะเลจะทำปฏิกิริยากลายสภาพเป็นก้อนสีขาว น้ำตาล เทา หรือสีดำ ตามระยะเวลาของการทำปฏิกิริยา เมื่อเวลานานไป กลิ่นของขี้วาฬกลายเป็นกลิ่นหอม คล้ายกลิ่นน้ำมันหอมระเหย
โดยอำพันทะเล มีราคาสูง เหมาะสมในการทำน้ำหอมเกรดพรีเมียม และเป็นของเฉพาะ คนที่ต้องการไม่ได้อยู่ในเมืองไทย จะนำไปใช้เป็นสูตรผสมทำ “หัวน้ำหอม” ระดับพรีเมียม ส่วนมากทำในยุโรป ฉะนั้นการที่จะเดินทางมาซื้อถึงประเทศไทยนั้นอาจจะไม่จำเป็นขนาดนั้น เนื่องจากในประเทศแถบใกล้เคียงประเทศไทยก็มี